แนวคิดเกี่ยวกับการแต่งกายของนักเรียน
ปัจจุบันการแต่งกายของนักเรียนจะเป็นไปตามแบบแฟชั่นนิยมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่จะทราบหรือไม่ว่า
ชุดนักเรียนที่พวกเขากำลังสวมใส่นั้นเป็นชุดที่มีเกียรติอย่างยิ่ง
แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดนักเรียนยังคงแต่งกายผิดระเบียบ
และพยามยามเสาะแสวงหาสารพัดวิธีที่จะสร้างลูกเล่นลงบนชุดนักเรียน ซึ่งจริง ๆ
แล้วการกระทำในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral
Learning Theories)
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมเน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า
(Stimulas) และ การตอบสนอง (Response) โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและ
การตอบสนองอันนำไปสู่ ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม คือการเรียนรู้นั่นเอง
ผู้นำที่สำคัญของ กลุ่มนี้ คือ พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ธอร์นไดร์
(Edward Thorndike) และสกินเนอร์ (B.F.Skinner)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical
Conditioning)
ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองในเรื่องนี้
คือ พาฟลอฟ ซึ่งเป็นนักสรีระวิทยาชาวรัสเซีย เขาได้ทำการศึกษาทดลองกับสุนัขให้
ยืนนิ่งอยู่ในที่ตรึงใน ห้องทดลอง ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย
การทดลองแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ ก่อนการวางเงื่อนไข (Before Conditioning) ระหว่างการวางเงื่อนไข (During Conditioning) และ
หลังการวางเงื่อนไข (After Conditioning) อาจกล่าวได้ว่า
การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค คือ การตอบสนอง ที่เป็นโดยอัตโนมัติเมื่อนำ
สิ่งเร้าใหม่มาควบคุมกับสิ่งเร้าเดิม เรียกว่า พฤติกรรมเรสปอนเด้นท์ (Respondent
Behavior) พฤติกรรมการเรียนรู้นี้เกิดขึ้นได้ทั้งกับมนุษย์และสัตว์คำที่พาฟลอฟใช้อธิบายการทดลองของเขานั้น
ประกอบด้วยคำสำคัญ ดังนี้
- สิ่งเร้าที่เป็นกลาง (Neutral
Stimulus) คือ สิ่งเร้าที่ไม่ก่อให้เกิดการตอบสนอง
- สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข (Unconditioned
Stimulus หรือ US ) คือ
สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้ตาม
ธรรมชาติ
- สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (Conditioned
Stimulus หรือ CS) คือ
สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้หลังจากถูกวางเงื่อนไขแล้วการตอบสนองที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข
(Unconditioned Response หรือ UCR) คือการตอบสนองที่เกิดขึ้น
ตามธรรมชาติ
การตอบสนองที่ถูกวางเงื่อนไข
(Conditioned Response หรือ CR) คือ การตอบสนองอันเป็นผลมาจากการเรียนรู้ที่ถูกวางเงื่อนไขแล้ว
กระบวนการสำคัญอันเกิดจากการเรียนรู้ของพาฟลอฟ มีอยู่ 3 ประการ
อันเกิดจากการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไข คือ
- การแผ่ขยาย (Generalization)
คือ ความสามารถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองในลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้าที่มี
ความหมายคล้ายคลึงกันได้
- การจำแนก (Discrimination) คือ ความสามารถของอินทรีย์ในการที่จะจำแนกความแตกต่างของสิ่งเร้าได้
- การลบพฤติกรรมชั่วคราว (Extinction)
คือ การที่พฤติกรรมตอบสนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องมาจากการ
ที่ไม่ได้รับสิ่งเร้า ที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข
การฟื้นตัวของการตอบสนองที่วางเงื่อนไข (Spontaneous recovery) หลังจากเกิด การลบพฤติกรรม ชั่วคราวแล้ว
สักระยะหนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอาจฟื้นตัวเกิดขึ้นมาอีก
เมื่อได้รับการกระตุ้นโดยสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
ทฤษฎีการเสริมแรงทางบวก (Positive
reinforcement)
การเสริมแรงทางบวกเป็นแนวคิดหนึ่งของทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทํา
(Operant conditioning Theory) ซึ่งการเสริมแรงพัฒนาโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันชื่อ Burrhus F.
Skinner ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่า
พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลพวงมาจากการปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมพฤติกรรมที่เกิดขึ้น (Emitted)
ของบุคคลจะเปลี่ยนไปเนื่องมาจากผลกรรม (Consequence) ที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมนั้น Skinner ให้ความสนใจกับผลกรรม
2 ประเภทคือ ผลกรรมที่เป็นตัวเสริมแรง(reinforcer)ทําให้พฤติกรรมที่บุคคลนั้นกระทําอยู่มีอัตราการกระทําเพิ่มมากขึ้นและ
ผลกรรมที่เป็นตัวลงโทษ(purnisher) ทําให้พฤติกรรมที่บุคคลกระทํานั้นยุติลง
ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะผลกรรมที่เป็นตัวเสริมแรงทางบวก(Positive
Reinforce
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
พฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษาระบบจัดการความรู้
เพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา
ชุดนักศึกษาหรือยูนิฟอร์ม
จัดอยู่ในระเบียบของแต่ละสถาบันที่กำหนดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐในแต่ละระดับ
ให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งชุดนักศึกษานั้นเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของแต่ละสถาบัน
เป็นการสร้างวินัย มีความรับผิดชอบ ทำให้รู้สึกถึงความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ดีงาม
น่าภาคภูมิใจ แสดงถึงความรู้ สติปัญญา
แต่ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการแต่งกายของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด
อยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง นิสิต นักศึกษาทั่วประเทศมักจะแต่งกายล่อแหลม
โป๊ ไม่เหมาะสม นักศึกษาหญิงนิยมใส่เสื้อผ้ารัดรูป ปล่อยชายเสื้อออกมานอกกระโปรง
นุ่งกระโปรงสั้น และมักสวมรองเท้าแตะ หรือรองเท้าแฟชั่น
รวมทั้งผมที่มักจะผิดระเบียบอยู่เป็นประจำ เช่น ปล่อยผมยาวสยาย ทำสีผม หรือทำผมตามกระแสแฟชั่น
ตามดาราทั้งในและต่างประเทศที่กำลังนิยมในปัจจุบัน ส่วนนักศึกษาชาย นิยมสวมรองเท้าแตะ
ปล่อยชายเสื้อ เป็นต้น เพราะเข้าใจเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเองดูดี มีรสนิยม
ปัญหาการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมของนักศึกษา
ระดับอุดมศึกษา จากบทความเปลื้องนักศึกษาของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
(2550)กล่าวไว้ว่า กระทรวงวัฒนธรรม (สมัยคุณหญิงไขศรี ศรีอรุณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม)ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (สมัยรศ.ดร.วรากรณ์
สามโกเศศ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ) และ สถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ
จำนวน 30 แห่ง ร่วมกันกำหนด “วาระแห่งชาติ” ว่าด้วยการจัดระเบียบการแต่งกายของนักศึกษา
ซึ่งช่วงนั้นก็เกิดกระแสต่อต้านในมุมมองของสิทธิมนุษยชน ยกตัวอย่างเช่น
จากการเผยแพร่วารสารสื่อสังวาสเรื่อง “การใช้อำนาจควบคุมเด็กคือวาระแห่งชาติ”ของหทัยรัตน์ สุดา (2550)
จากบทความเรื่อง การแต่งกายของนักศึกษากับอำนาจของ บัณฑิต ไกรวิจิตร (2550)
และ บทความเรื่อง
สิทธิมนษุยชน....กับการแต่งกายของนิสิตนักศึกษาของใบไม้สีชมพู(2552) ทำให้การรณรงค์นั้นยังไม่ประสบผลเท่าที่ควร
ซึ่งทำให้กลายเป็นประเด็นที่ว่าชุดนักศึกษาเป็นปัญหาหรือไม่
จากบทความของอาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
โดยอาจารย์ชลวิทย์ เจียรจิตต์ (2552)
แต่อย่างไรก็ตามยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงสถาบันการศึกษาหลายแห่ง
ร่วมกันระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ (2552) ได้กล่าวถึงโครงการ “อีกนิด เพื่อจุฬา” (A bit more Project) ที่เป็นโครงการรณรงค์ในเรื่องการแต่งกายชุดนักศึกษาที่ถูกระเบียบ ผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ
ที่เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
และจากบทความของรวมคลังความรู้และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของบุคลากรมหาวิทยาลัยศรีปทุม
โดย Permalink (2551)
พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในกลุ่มของเยาวชนดังกล่าว คือ
เยาวชนไทยขาดการปลูกฝังในด้าน คุณธรรม
จริยธรรม อย่างยั่งยืน อาจจะมีอยู่บ้างแต่ ไม่เกิดผลที่ถาวร
ในขณะที่สังคมไทยต้องการเห็นภาพการพัฒนาเยาวชนไทยไปสู่การเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ
มีความสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ
มีสติ ปัญญา มีความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรม ในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้
อย่างมีความสุข
ผลสำรวจเกี่ยวกับปัญหาพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา
(ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ :
2550) พบว่า
การแต่งกายของนักศึกษานักศึกษาในปัจจุบันเป็นปัญหาที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
และควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน รวมทั้งยังได้กล่าวถึงการแต่งกายที่ไม่เหมาะสม
จะก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม อาทิ การล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืน ปัญหาจี้ ปล้น
วิ่งราวทรัพย์ รวมถึงทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของสถาบันและของตนเอง
ไปจนถึงขัดกับวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
จากการศึกษา การค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยต่างๆ
มีเอกสารและวิทยานิพนธ์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยนี้โดยตรง
พอสรุปมาเป็นข้อสนับสนุนได้แก่ Velma Lapointและ Sylvan
I.Alleyne [ออนไลน์:2546] ได้สรุปว่า
ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องทราบปัญหาเกี่ยวกับนักเรียน
เพื่อระดมความคิดในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรม ควรมีการพัฒนาสื่อการเรียนรู้สำหรับนักเรียนเพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับการแต่งกายและพฤติกรรมรวมถึงความจำเป็นในการแต่งกาย
ดังนั้น
ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการแต่งกาย ของนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
โดยใช้ขั้นตอนการจัดการความรู้ของกมลรัตน์ สำเริง (2549) เป็นเครื่องมือ ร่วมกับคณะผู้บริหาร คณาจารย์
ผู้ปกครอง นายกสโมสรนักศึกษาและตัวแทนนักศึกษาในแต่ละสาขาวิชา เพื่อทำให้งานมีผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย
ผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการการศึกษา ฝ่ายกิจการนักศึกษา
ผู้บริหารคณะวิทยาการจัดการและผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ ในด้านการวางแผน
การตัดสินใจที่ดี
สามารถเชื่อมโยงไปสู่การปฏิบัติทั้งในคณะวิทยาการจัดการและระหว่างคณะต่างๆ
ในมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
สอดคล้องกับแนวปรัชญาของคณะวิทยาการจัดการ คือ
“สร้างสรรค์คุณภาพคู่คุณธรรม” รวมทั้งเพื่อให้ผู้อื่นได้เรียนรู้นำไปประยุกต์ใช้
และทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เกิดขึ้นขยายวงกว้างไปได้ทั้งแนวดิ่งและแนวราบอย่างต่อเนื่อง
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ด้านงานวิจัย
งานวิจัยนี้ ได้นำแนวคิดทฤษฎีต่างๆมาใช้ ได้แก่
Carla O”DellและJackson
Grayson (อ้างถึงในบุญดี บุญญากิจ และคณะ 2547: 21) กล่าวว่า
“การจัดการความรู้” เป็นกลยุทธ์ในการที่จะทำให้คนได้รับความรู้ที่ต้องการ ภายในเวลาที่เหมาะสม
รวมทั้งช่วยทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน และนำความรู้ไปปฏิบัติเพื่อยกระดับและปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กร
ทั้งนี้การจัดการความรู้ไม่ใช่เครื่องมือที่จัดการกับตัวของความรู้โดยตรงแต่เป็นวิธีการที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ที่มีระหว่างกันได้
ศ.นพ. วิจารณ์ พานิช (2548)
ได้ให้ความหมายของคำว่า “การจัดการความรู้” เป็นเครื่องมือในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
4 ประการ คือ เป้าหมายของงาน เป้าหมายการพัฒนาคน เป้าหมายการพัฒนาองค์กร
และเป้าหมายความเป็นชุมชน สำหรับความรู้ที่เกี่ยวข้องมี 2 ประเภท คือ
ความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) และความรู้ฝังลึก (Tacit
Knowledge
จากเว๊ปไซต์www.novabizz.com [ออนไลน์]
ได้กล่าวถึงการรู้คุณค่าของตัวเอง (self-esteem)ไว้ว่าหมายถึง
บุคคลที่มีความรับผิดชอบ มีความซื่อสัตย์ มีความภูมิใจในผลสำเร็จของงาน
มีความคิดริเริ่ม และมีความมุ่งมั่น ที่จะแก้ปัญหา และรับผิดชอบปัญหา
ที่จะเกิดตามมา เป็นคนที่คนอื่นรักและรักคนอื่น เป็นบุคคลที่สามารถควบคุมตัวเอง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของงาน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Objective(s))
1.เพื่อศึกษากระบวนการนำการจัดการความรู้มาแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา
ในคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ให้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2.
เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา
ในคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
สมมติฐานการวิจัย
1.
สร้างระบบการจัดการความรู้เพื่อการแก้ไขปัญหาพฤติกรรการแต่งกายของนักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
2.
ผลสัมฤทธิ์ต่อการปรับพฤติกรรมของนักศึกษากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกัน
ในภาพรวม
3.
ผลสัมฤทธิ์ต่อการปรับพฤติกรรมของนักศึกษากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกัน
โดยจำแนกตามเพศ
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากร (อ้างอิง จากยอดนักศึกษาจริง
คณะวิทยาการจัดการ :2552)
- ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ภาคปกติ ประกอบด้วย
6 สาขาวิชา ได้แก่ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จำนวน 235 คน
สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จำนวน 125 คน สาขาวิชาการบัญชี จำนวน 137 คน
สาขาวิชาการตลาด จำนวน 67 คน สาขาวิชานิเทศศาสตร์ จำนวน 141 คน
สาขาวิชาการจัดการทั่วไป จำนวน 109 คน รวมจำนวนนักศึกษาภาคปกติทั้งสิ้น จำนวน 814
คน
-
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เพื่อให้กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีจำนวนที่ใกล้เคียงกัน
จากนั้นดำเนินการโดยการจับฉลาก ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกเป็นกลุ่มทดลอง เป็นนักศึกษา
สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จำนวน 235 คน
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มควบคุม เป็นนักศึกษา สาขาวิชา การจัดการทั่วไป
และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จำนวน 234 คน
รวมทั้งสิ้น 469 คน
2. ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรอิสระ ได้แก่
- ระบบการจัดการความรู้ ได้แก่ จัดตั้งคณะทำงาน
KM Community สัมมนาเชิงปฏิบัติการ โครงการ (งามสง่าอย่างคนของพระราชา) กิจกรรมต่างๆ และ
ระบบเครือข่ายการติดต่อสื่อสาร แบบประเมิน
การสร้างแรงจูงใจ
ตัวแปรตาม ได้แก่
- ประสิทธิภาพของระบบการจัดการความรู้ ตามเกณฑ์
80/80
-
รางวัลเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อปรับพฤติกรรมการแต่งกาย
วิธีดำเนินการวิจัย
1.
รูปแบบการวิจัย (research design)
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา(Research
and Development) มีการนำเอาหลักการของการจัดการความรู้มาใช้ร่วมกัน
อ้างอิงของ กมลรัตน์ สำเริง[ออนไลน์:2549]
1.
ขั้นศึกษาสภาพปัญหาและแนวทางในการสร้างระบบการจัดการความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
2. ขั้นวัตถุประสงค์
เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการปรับวิธีคิด ทัศนคติ พฤติกรรมของคนในองค์กร
ให้ตระหนักในภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะภัยจากอาชญากรรม จากการถูกคุกคามทางเพศ
ให้เห็นคุณค่าของตัวเอง
และเกิดความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ รวมทั้งแสวงหา สร้าง จัดเก็บ สืบค้น
ตลอดจนถ่ายโอนและนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
- จัดตั้งคณะทำงาน KM Community ซึ่งทีมหลักประกอบด้วย คณบดี
รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา
นายกสโมสรนักศึกษาและตัวแทนนักศึกษาในแต่ละสาขาวิชา ของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
- ปรับทัศนคติและพฤติกรรมของนักศึกษากลุ่มทดลอง
โดยเริ่มจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ โดยในช่วงเริ่มต้นให้จัดแสดงวีดีทัศน์
ในมุมมองของปัญหาการแต่งกายที่เชื่อมโยงไปสู่การเกิดอาชญากรรมทั้งทางตรงและทางอ้อม
, ปัญหาการถูกคุกคามทางเพศ , ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยเรียน
, ปัญหาการค้าประเวณี ตลอดจนถึงปัญหาที่ต้องถูกเลิกจ้างงาน
พร้อมกันนี้ก็ได้มีคำแนะนำในการสร้างบุคลิกภาพที่ดี มีความตระหนักในคุณค่าตัวเอง
เคารพตัวเอง สุดท้าย
จัดให้มีการกำหนดแนวทางในการแก้ไขการปรับพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษาร่วมกัน
- กำหนดคำนิยาม ความรู้ในองค์กร โครงการจัดการความรู้ ชื่อโครงการ
(งามสง่าอย่างคนของพระราชา)
- ให้มีกิจกรรมต่างๆ
เพื่อให้เกิดพฤติกรรมของการเรียนรู้ในองค์กร
ที่เอื้ออำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ประกวดคำขวัญเกี่ยวกับการแต่งกาย
ประกวดการทำบล็อกในหัวข้อ “แต่งกายอย่างไรให้อินเทรนแต่ดูดี” โครงการแอบถ่าย “คุณดูดีนะ” โดยแจกใบประกาศเกียรติคุณ
พร้อมเงินรางวัลและเพิ่มคะแนนจิตพิสัยทุกรายวิชา สำหรับผู้ชนะ
3. ขั้นกำหนดแนวเลือก
เพื่อให้ได้ระบบเครือข่ายการติดต่อสื่อสาร มีความเชื่อมโยงที่ดี มีความรวดเร็ว ความถูกต้องความทันสมัย
น่าเชื่อถือ มีความสามารถในการเข้าถึงความสามารถในการตรวจสอบ
การมีส่วนร่วมในกระบวนการข้อมูล อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมที่จะนำความรู้ต่างๆที่มีอยู่ในตัวบุคคลหรือรูปแบบที่จับต้องได้ มาแลกเปลี่ยน
และเผยแพร่ให้กับทุกๆคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่องทางการสื่อสาร ได้แก่ Internet
(KM Web) ของคณะวิทยาการจัดการ
4. ขั้นการพัฒนา
เป็นขั้นที่นำทางเลือกไว้มาพัฒนาหรือสร้างนวัตกรรมขึ้น
ให้มีกระบวนการทำงานและเครื่องมือ
ความรู้ต่างๆให้เกิดการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเครื่องมือ(Tools) ได้แก่ การจัดทำ Internet (KM Web) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และการถ่ายโอนความรู้
ที่เป็นประโยชน์มารวบรวมไว้เป็นศูนย์กลางของความรู้ (Centralized
Knowledge) โดย KM Web ประกอบด้วยเรื่องหลักๆ
ดังนี้
- กฎระเบียบการแต่งกาย
- ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย
-
การวิจัยและสำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมการแต่งกาย
รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาพฤติกรรมการแต่งกาย เช่น
การวิจัยปัญหาทางด้านอาชญากรรม ปัญหาการค้าประเวณี ปัญหาการเลิกจ้างงาน
ทั้งในและต่างประเทศ
- สาเหตุการแต่งกายไม่ถูกระเบียบ
- ภัยจากการแต่งตัว
เช่น ข่าวสารต่างๆ จากในโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฯลฯ
-
ตัวอย่างการแต่งกายที่ดี
- ข่าวประชาสัมพันธ์
- ข่าวกิจกรรม
- Web board Activites
- รวมWeb
site มหาวิทยาลัยต่างๆ(ร่วมรณรงค์การแต่งกาย)
5.
ขั้นการใช้แบบประเมินเป็นตัวชี้วัด
- จากการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ
ทำให้ผู้เข้าร่วม ได้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ด้านการแต่งกาย เป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ มีความสมบูรณ์
ทั้งร่างกายและจิตใจ มีสติ ปัญญา
มีความรู้และคุณธรรม
มีจริยธรรมและวัฒนธรรม ในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้
อย่างมีความสุข
และสามารถสร้างระบบการจัดการความรู้
เพื่อแก้ไขการพัฒนาเยาวชนไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
-
ความสำเร็จหรือผิดพลาดของโครงการสามารถชี้ให้เห็นได้ด้วยตัวชี้วัด
ซึ่งได้จัดทำแบบประเมินที่เหมาะสม เพื่อพิจารณาตรวจสอบ ความตรงตามเนื้อหา(Content
Validity) ตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ดังนี้
ผศ.ธีระพันธ์ โชคอุดมชัย คณบดีคณะวิทยาการจัดการ
ดร.ธงชัย เหมือนชู รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา
นางสาววิยะดา พลชัย อาจารย์ที่ปรึกษา
เมื่อนำแบบประเมินที่ปรับปรุงสมบูรณ์แล้วมาจัดทำเป็นแบบประเมิน
เพื่อนำมาผลประเมินมาพัฒนาโครงการและเปรียบเทียบ
ระบบการจัดการที่มีผลต่อการปรับพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษาในคณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
6. ขั้นการยอมรับและให้รางวัล เพื่อกระตุ้น
ผลักดัน และส่งเสริมการดำเนินการโครงการให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยเน้นการสร้างแรงจูงใจในตนเอง(Self Motivation) และ
ให้รางวัลตนเอง (Self Rewarding) ซึ่งจะเป็นแรงกระตุ้นจากภายในสู่ภายนอก (inside-out) ตัวอย่างเช่น เงินสด ของที่ระลึก ใบประกาศเกียรติคุณ คะแนนคุณธรรมจริยธรรม
โดยแยกเป็นประเภทบุคคล
และห้องเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นการให้ความสำคัญในการเข้าร่วมการจัดทำโครงการในครั้งนี้
2.
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบประเมิน
เรื่อง พฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา คณะวิทยาการจัดการในปัจจุบัน
- ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
เป็นแบบเช็ครายการ(Check List)
- ข้อมูลด้านสภาพปัญหาการพัฒนาพฤติกรรม
เป็นแบบมาตราประมาณค่า 5 ระดับ(Rating Scale)
- แบบประเมินการวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้
เป็นแบบประเมินให้แสดงความคิดเห็น (Paragraph text) เพื่อตรวจสอบและประเมินว่าระบบการจัดการความรู้ของคณะวิทยาการจัดการ
เป็นอย่างไร
2. การจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ โดยแจกใบประกาศเกียรติคุณ
พร้อมเงินรางวัลและเพิ่มคะแนนจิตพิสัยทุกรายวิชา สำหรับผู้ชนะเลิศ
(ได้คะแนนสูงสุดจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) ดังนี้
-
โครงการ (งามสง่าอย่างคนของพระราชา)
- ประกวดคำขวัญเกี่ยวกับการแต่งกาย
-
ประกวดการทำบล็อกในหัวข้อ “แต่งกายอย่างไรให้อินเทรนแต่ดูดี”
-
โครงการแอบถ่าย “คุณดูดีนะ”
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลในการทำวิจัย
กระทำโดยผู้วิจัย โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.
ผู้วิจัยนำแบบประเมิน
ให้กับคณบดีคณะวิทยาการจัดการ
พร้อมกับรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษา
เพื่อหาค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหาโดยชี้แจงวัตถุประสงค์
และขออนุญาตในการทดสอบเครื่องมือกับนักศึกษา
2. ผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล
ตามขั้นตอนดังนี้
2.1
ประสานงานกับรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา
อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ปกครอง
นายกสโมสรนักศึกษาและนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง(กลุ่มทดลอง) จำนวน 235 คน
จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และ จัดทำเครือข่าย Internet (KM Web) พร้อมกับให้อาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้องและผู้ปกครองของนักศึกษาแต่ละคน
ทำประเมินนักศึกษาก่อนเข้าร่วมโครงการ (ตามบัญชีรายชื่อ)
แล้วนำค่าที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย
2.2 สำหรับกลุ่มควบคุม จำนวน 234 คน
ให้อาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้องและผู้ปกครองของนักศึกษาแต่ละคน
ทำประเมินนักศึกษาก่อนเข้าร่วมโครงการ (ตามบัญชีรายชื่อ)
แล้วนำค่าที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย
2.3 ให้นักศึกษากลุ่มตัวอย่าง(กลุ่มทดลอง)
เข้าร่วมเครือข่าย Internet (KM Web) ของคณะวิทยาการจัดการและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
เป็นระยะเวลา 1 เดือน
2.4
ในช่วงระหว่างเข้าร่วมเครือข่ายและกิจกรรมต่าง โดยให้อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้ปกครองทำการประเมิน กลุ่มตัวอย่าง(กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม)
ทุกอาทิตย์ รวมทั้งหมด 4 ครั้ง (รวมการประเมินนักศึกษาก่อนเข้าร่วมโครงการ
พร้อมกับนำค่าที่ได้มาหาค่าเฉลี่ยทุกครั้ง)
2.5
หลังจากที่เข้าร่วมกิจกรรมและระบบการจัดการความรู้ของคณะแล้ว ให้อาจารย์ที่ปรึกษาของแต่ละห้องและผู้ปกครองของนักศึกษาแต่ละคน
ทำการประเมินนักศึกษากลุ่มตัวอย่างทั้ง 2 กลุ่ม ให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน
(ตามบัญชีรายชื่อ)
2.6
ระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้เวลาทั้งสิ้น1 ภาคเรียน
(เป็นโครงร่างงานวิจัยอยู่ค่ะ)
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS for
Windows Version 11.5 ซึ่งมีการประมวลผลข้อมูลเป็นขั้นตอน คือ
หลังจากการตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบประเมินเรียบร้อยแล้ว
จึงนำข้อมูลที่ได้มาเปลี่ยนแปลงเป็นรหัสตัวเลข (Code) แล้วบันทึกรหัส
ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ และเขียนโปรแกรมสั่งงานโดยใช้สถิติ ดังนี้
1. สถิติเชิงพรรณนา(
Description Statistics)ศึกษาลักษณะการกระจายของข้อมูล ค่าความถี่ (Frequency) ร้อยละ
( Percentage) ค่ามัชฌิมเลขคณิต (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
2.
สถิติเชิงวิเคราะห์ (Analytical Statistics)วิเคราะห์เปรียบเทียบการพัฒนาพฤติกรรมแต่งกายของกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม
และหลังการเข้าร่วมกิจกรรม
ระบบจัดการความรู้โดยใช้การทดสอบความแตกต่างด้วยค่าที (t-test)
3. การคำนวณหาประสิทธิภาพระบบการจัดการความรู้
(การกำหนดเกณฑ์ค่า E1/E2) ชัยยงค์ พรหมวงศ์ และคณะ ( 2521 : 136 )
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.สามารถแก้ปัญหาพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรีโดยใช้ระบบการจัดการความรู้ได้
2.เกิดการเรียนรู้ร่วมกันทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการแต่งกายของนักศึกษา
3.สามารถสร้างระบบการจัดการความรู้
เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกที่ดี ให้นักศึกษาเกิดความตระหนัก
ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
4.สามารถช่วยลดปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ
ปัญหาการเกิดอาชญากรรมได้